วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 สุดยอดที่เที่ยวหน้าหนาว น่าไปมาก! IBC

1. ปางอุ๋ง ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน 
หมู่บ้านรวมไทย เป็นหมู่บ้านโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ในพระบรมราชินูปถัมป์ ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ลักษณะพื้นที่เป็นอ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่  IBC



2. ปาย ตั้งอยู่ใน อ. ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 

ปาย...อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน ที่มีนักท่องเที่ยวทั้ง ชาวไทยและต่างประเทศมาเยือน อย่างไม่ขาดสาย ความเงียบสงบ ลำนํ้าปายสายน้อยที่ไหลผ่าน กระต๊อบเล็ก



3. ดอยอ่างขาง ( ศูนย์พัฒนา โครงการหลวงอ่างขาง ) ตั้งอยู่ใน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ( ดอย อ่างขาง ) เป็นสถานีวิจัยแห่งแรก ของโครงการหลวง ตั้งอยู่บน เทือกเขาตะนาวศรี ตำบล***อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่  IBC



4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ตั้งอยู่ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ 

อลังการทะเลหมอก อุทยาน แห่งชาติห้วยน้ำดัง มีพื้นที่ครอบคลุมท่องที่อำเภอแม่แตง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัด แม่ฮ่องสอน


5. วนอุทยานภูชี้ฟ้า ตั้งอยู่ใน อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย 

วนอุทยานภูชี้ฟ้า - ภูชี้ฟ้า อยู่ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่อิงฝั่ง ขวาและป่า***าว ท่องที่บ้านร่ม ฟ้าทอง หมู่ที่ 9 และบ้านร่มฟ้าไทย  IBC



6. ดอยแม่สลอง ตั้งอยู่ใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย 

ดอยแม่สลอง เป็นที่ตั้งของ หมู่บ้านสันติคิรี เดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก เป็นชุมชนผู้อพยพจาก กองพล 93 ซึ่งอพยพจากประเทศพม่าเข้ามาในเขตไทย จำนวนสองกองพัน



7. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่ใน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ 

ป่าเมฆสูงสุดแดนสยาม แต่เดิม ดอยอินทนนท์มีชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา คำว่า ดอยหลวง หมายถึง ภูเขาที่มี ขนาดใหญ่  IBC
 


8. วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.เชียงราย 

วัดร่องขุ่น อยู่ที่บ้านร่องขุ่นกม.ที่ 817-818 ทางขวามือ ก่อนจะถึง ตัวเมือง ๑๒ กม. โดยมีอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชั้น แนวหน้าของประเทศไทย



9. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตั้งอยู่ใน อ.ภูกระดึง จ.เลย 

วันที่ 18 ม.ค. 48 อุณหภูมิบนยอด เขาอุทยานแห่งชาติภูกระดึงวันนี้ อุณหภูมิตํ่าสุด 8.2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 22.5 องศา เซลเซียส



10. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่ใน อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน 

ทุ่งบัวตอง ดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม ตามเส้นทางหมายเลข 108 (แม่ฮ่องสอน-ขุนยวม) ก่อนถึงตัว อำเภอประมาณ 1 กิโลเมตร  IBC

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันนี้...ที่ “ป่าตอง” IBC

แสงแดดจางๆ ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเครื่องบิน ภาพเกาะน้อย เกาะใหญ่ที่กระจายตัวอยู่กลางทะเลสีน้ำเงิน นั่นแสดงให้ฉันรู้ว่า ฉันมาถึงแล้วนะ จ.ภูเก็ต ที่ใครหลายคนต่างพากันกล่าวถึงว่า...สวยงาม ฉันเดินทางมาภูเก็ต โดยมีจุดมุ่งหมายมาที่ หาดป่าตอง อยากมาให้เห็นกับตาว่าสีน้ำทะเลของที่นี่ ตัดกับ แสง สี เสียงยามค่ำคืนของป่าตองขนาดไหน และเมื่อเครื่องบินร่อนลงสู่รันเวย์ (ทีไร ท้องไส้ปั่นป่วน ขมวดเป็นก้อนขึ้นมาทันที) ฉันก็มุ่งสู่หาดป่าตอง   IBC
วันนี้ที่หาดท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นน้ำทะเลสีฟ้าใสสะอาด หาดทรายขาวเนื้อละเอียด พร้อมชาวต่างชาตินุ่งบิกินี่ตัวจิ๋ว มาเล่นน้ำบ้าง อาบแดดบ้าง ยิ่งทำให้หาดนี้ดูสดชื่นขึ้นมาอีกเยอะเลย แต่หากมาในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน-ตุลาคมของทุกปี จะเป็นช่วงที่หาดป่าตองสามารถเล่นกระดานโต้คลื่นได้อีกด้วย ซึ่งชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก บินตรงมาที่นี่เพื่อการเล่นกระดานโต้คลื่นโดยเฉพาะ ทำให้มีโอกาสเห็นทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ยืนโชว์ความแข็งแรงอยู่บนกระดานโต้คลื่นได้อย่างเต็มตา แสงแดดที่นี่แรงจนแสบผิว แต่ไม่หวั่นกับการที่จะเปิดตาและเปิดใจสำรวจป่าตองอย่างใกล้ชิด จากบริเวณหน้าหาด (หันหน้าสู่หาด) เดินไปทางขวามือจนสุดหาดทราย เดินขึ้นเนินเล็กๆ ไปเรื่อยๆ จะพบกับจุดโขดหินของทะเลป่าตอง ตรงนี้น้ำทะเลจะมีสีฟ้าปนสีเขียวอ่อน มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ลมเย็นๆ ชื่นใจ แต่ฉันยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เดินฝ่าความร้อนของไอแดด มุ่งหน้าสู่ หาดกะหลิม ชายหาดที่แสนเงียบ ไร้ผู้คน อยู่ข้างๆ กับหาดป่าตอง น้ำทะเลก็สวยไม่ต่างกัน มีต้นหญ้าเล็กๆ ขึ้นเขียวก่อนลงถึงตัวหาดทราย ช่วยมาเพิ่มสีสันให้หาดกะหลิมดูสดชื่นมากกว่าเดิม และหากมาทันช่วงพระอาทิตย์จะตกดิน จะได้อีกหนึ่งบรรยากาศ ฉันขอนับเป็นไฮไลท์ (สำหรับตัวเอง) อีก 1 ที่ก็แล้วกัน   IBC

แดดร่มลมตก อาศัยเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ตะลอนป่าตอง ออกไปตามถนนสายหลัก ซึ่งเป็นวันเวย์ เดินรถทางเดียว และเมื่ออยากกินอาหารใต้บ้าง ให้แวะร้านข้าวยำปัตตานี อร่อยกำลังดี ร้านจะถึงก่อน ศูนย์การค้าจางซีลอน ห้างที่ใหญ่ที่สุดของป่าตอง ส่วนบริเวณตรงข้ามกัน ยังเป็นตลาดขายของขนาดใหญ่ จำพวกเสื้อผ้าสีสัน บิกินี่ ของใช้ต่างๆ ให้เลือกช้อปอย่างจุใจ ย้ำเตือนกันหน่อยว่า เวลาขับรถในป่าตอง ต้องระวังเรื่องวันเวย์เสมอ หากเข้าผิดเข้าถูกจะโดนเส้นทางบังคับซ้าย ขับไปเรื่อยๆ ขึ้น-ลงภูเขาสนุกสนานกันไป จนขับเลยออกไปไกลเกือบถึงตัวเมืองภูเก็ต ที่บอกได้ก็เพราะฉันหลงออกนอกเส้นทางมาแล้ว   IBC

ใครชอบงานศิลปะ ที่ป่าตองมีร้าน ART SHOP พร้อมแกลลอรี่เล็กๆ ข้างทางเยอะมาก อยู่แถวๆ แยกโคกมะขาม สามแยกที่บังคับรถเลนเดียวนั่นเอง จะเห็นศิลปินมานั่งวาดรูปสีน้ำมัน และมีโชว์งานสวยๆ ให้เห็น หรืออยากนั่งชิมกาแฟในร้านสไตล์เรโทร แนะนำให้ไปที่ Chic Room ถ.นาใน อยู่ด้านในสุดของป่าตอง เป็นร้านกาแฟชั้นครึ่ง ที่ตกแต่งแนวเรโทรได้น่ารัก   IBC
 พร้อมกับของเก่าเก็บที่สะสมไว้จำนวนมาก ที่นี่มี Wi-Fi ฟรีไว้คอยบริการด้วย เท่านั้นไม่พอเจ้าหน้าที่ของที่นี่ ยังพาไปชมโรงแรมด้านใน ที่ขอบอกว่า Chic! ไม่แพ้กับตัว Café เลย  สำหรับไฮไลท์ของป่าตองที่แท้จริงจะอยู่ที่ ถ.บางลา สถานที่ที่เต็มไปด้วย แสง สี เสียง ชาวต่างชาติ กลิ่นบุหรี่ แอลกอฮอล์และเสียงเพลง ประหนึ่งพัทยาขนาดใหญ่ แต่หากลงมาที่หาดแล้วลองยืนมองป่าตองแบบ 360 องศา จะพบว่าป่าตองมีเสน่ห์แม้ยามค่ำคืน การเดินทางภายในป่าตอง มีอยู่ 4 รูปแบบคือ รถตุ๊กๆ แบบเหมาจ่าย วินมอเตอร์ไซค์ ขอบอกว่า ทั้ง 2 อย่างราคาแพงมาก เช่ามอเตอร์ไซค์หรือจักรยานแบบรายวันจะคุ้มมากถึงมากที่สุด และแบบสุดท้าย "เดิน" มันอาจจะเหนื่อยและร้อนมาก แต่มันทำให้เราได้เห็นอะไรอะไรมากขึ้น เพียงช่วงสั้นๆ เดินดีกว่าค่ะ และอย่าลืมมองหาป้ายเส้นทางหนีคลื่นยักษ์ไว้ด้วยก็ดี อย่างน้อยจะได้รู้เส้นทางหนี หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน  IBC

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชมขุนเขา เยื้องย่างกลางป่าทุ่งค่าย IBC

เมื่อมีเสียงบอกว่าจะพาไปเดินบนสะพานแขวนเรือนยอดไม้แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย หลายคนก็หันมาสนใจและกระตือรือร้นสะพานแขวนที่ว่านี้อยู่ใน สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) ซึ่งเป็นสวนที่อนุรักษ์ผืนป่าอันกว้างขวางเกือบ 3,000 ไร่ไว้ ผืนป่านี้มีทั้งป่าดิบที่มีพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นสูงลิบลิ่ว ไปจนถึงป่าพรุในพื้นที่ชุ่มน้ำ ได้รับการประกาศให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ในปี พ.ศ. 2536  IBC
ระหว่างทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นสะพานแขวน เราได้เดินศึกษาป่าดิบชื้นซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของสวนพฤกษศาสตร์ฯ คือประมาณร้อยละ 61.5 ของพื้นที่ ในป่าดิบชื้นเราเห็นพันธุ์ไม้พื้นล่าง เช่น เฟิน เห็ด รา ขึ้นในที่ชื้นที่แทบไม่มีแสงแดดเล็ดลอดเข้าไปถึง เพราะมีพันธุ์ไม้อย่างเคี่ยม หูยาน พะยอม ปกคลุมอย่างหนาแน่น สะพานแขวนอยู่บนเส้นสลิงขนาดใหญ่ พาดผ่านบนเรือนยอดไม้เป็นระยะทางเกือบ 200 ม. ขณะเดินอยู่บนสะพานแขวนเสมือนกำลังก้าวย่างไปบนยอดไม้ที่สูงจากพื้นดินนับหลายสิบเมตร ได้ชมเรือนยอดไม้เขียวทึบอย่างป่าดิบชื้นเมืองใต้ ระหว่างแนวสะพานจะมีหอคอย 6 หอตั้งอยู่เป็นระยะๆ แต่ละหออยู่ที่ระดับความสูงต่างกันไป สูงที่สุดที่ 18 ม. นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปบนหอคอยเพื่อชมเรือนยอดไม้และดูนกได้ มีนกแต้วแล้วธรรมดา นกแซงแซว นกกะเต็น เป็นต้น หากโชคดีอาจได้เห็นสัตว์ป่าหายากอย่างพญากระรอกดำที่ในภาคใต้เรียกพะแมว เป็นสัตว์ในกลุ่มกระรอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่พบในไทย มันจะกระโดดจากยอดไม้หนึ่งไปอีกยอดหนึ่งที่อยู่ไกลถึง 22 ฟุตได้ ถ้ามาในช่วงที่กล้วยไม้ป่าผลิดอก ก็จะได้พบความงามของกล้วยไม้ป่าหลากชนิดที่แต่งแต้มให้ป่ายิ่งงามน่าชม
ความประทับใจสุดๆ ในทริปเที่ยวชมธรรมชาติของเราครั้งนี้คือ การได้ชมดอกต้นหว้าที่บริเวณหอคอยที่ 4 ดอกเล็กๆ สีขาวนวลนั้นสะพรั่งเต็มต้น จากหอนี้หากมองไปยังหอคอยที่ ๕ จะเห็นต้นตะเคียนยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ ที่หอคอยที่ 5 เราได้พบสัจธรรมจากธรรมชาติของต้นไทร ต้นไทรเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่ามากมาย แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นฆาตกรเลือดเย็นสูบเลือดสูบเนื้อต้นไม้ใหญ่ที่มันเกาะอยู่จนไม้นั้นตายลงในที่สุด แล้วสะพานแขวนก็มาสิ้นสุดที่หอคอยที่ 6 ต้นหูยานขนาดใหญ่รออยู่ที่จุดนี้ หูยานต้นนี้แตกต่างจากหูยานทั่วไป เพราะลำต้นแยกออกเป็นห้ากิ่ง ขณะที่ต้นอื่นมีลำต้นเดียวไม่แตกแขนงลงจากสะพานแขวนเราก็เข้าสู่ดินแดนแห่งป่าพรุ มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกว่า 1 กม. ถ้ามาเดินช่วงแดดร่มลมโชยจะน่ารื่นรมย์มาก นอกจากอากาศไม่ร้อนแล้วยังจะได้เห็นสิงสาราสัตว์กลับเข้าสู่รวงรังในช่วงเย็น
ป่าพรุเกิดในพื้นที่ลุ่มต่ำที่มีน้ำจืดท่วมขังตลอดทั้งปี และมีการสะสมของซากพืชและอินทรียวัตถุภายในสภาวะน้ำท่วมขังอย่างต่อเนื่อง พืชพรรณส่วนใหญ่จึงวิวัฒนาการส่วนของรากให้มีโครงสร้างพิเศษเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ ต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างเทียะ กาแดะ อกกปลาช่อน หรือหว้าดิน มีพูพอนเป็นรากค้ำยันโดยยื่นออกนอกลำต้นบริเวณโคน แต่ต้นไม้บางชนิดก็มีระบบรากแก้วสั้น แต่รากแขนงจะแผ่กว้างอย่างแข็งแรง หรือมีระบบรากเสริมดังเช่นต้นตังหน ต้นขมิ้น ที่มีรากค้ำยันให้มั่นคงแข็งแรง ขณะที่ต้นสะเตียวและต้นเลือดควายใบใหญ่มีระบบรากหายใจโผล่ขึ้นมาเพื่อช่วยพยุงลำต้น บริเวณใกล้สุดเส้นทางป่าพรุมีของดีให้ดูคือหม้อข้าวหม้อแกงลิง พืชเด่นอีกชนิดของป่าพรุ แต่ต้องตั้งใจมองหาสักหน่อยเพราะหญ้าขึ้นค่อนข้างรก ทั้งหากมองผ่านๆ มันจะดูกลืนไปกับหญ้าและพืชชนิดอื่นด้วย หม้อข้าวหม้อแกงลิงบริเวณนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็กสีเขียวอ่อนไปจนถึงขนาดใหญ่สีชมพูและสีม่วง นอกจากนี้ยังมีกล้วยไม้ดินอย่างยี่โถปีนังหรือหญ้าจิ้มฟันควายออกดอกน่ารักๆ แซมอยู่ตามพงหญ้าให้ชมเพลินตาด้วย

ปู๊น...ปู๊น นั่งรถไฟไปดูดอกกระเจียว ตะลุยป่าหินงาม IBC

เอ่ยถึงจังหวัดชัยภูมิในช่วงต้นฤดูฝน ภาพทุ่งดอกกระเจียวแสนสวยก็โผล่ขึ้นมา การเดินทางไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวไปได้หลายเส้นทาง แต่ที่น่าสนุกและตื่นตาติ่นใจมากที่สุดเห็นจะเป็นการนั่งรถไฟปู๊น ปู๊น จากกรุงเทพฯ ไปชัยภูมิ กับรถด่วนขบวนพิเศษ "Chaiyaphum Express" ที่ railway-trip.com เหมารถไฟพานักท่องเที่ยวไปตะลุยทุ่งดอกไม้ และแวะกิน แวะเที่ยวตลอดเส้นทางตามสไตล์อยากจอดไหนก็จอด อยากแวะไหนก็แวะ  IBC
 ทริปนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้าตรู โดยรถขบวนดีเซลรางพิเศษนำเที่ยว ขบวนที่ 939 พร้อมนักท่องเที่ยวหลากหลายวัยที่คึกคักสนุกสนานกันเป็นพิเศษ หลังจากออกจากสถานีหัวลำโพงมุ่งหน้าสู่สถานีชุมทางบ้านภาชี ระหว่างทางเราก็เติมพลังกินอาหารเช้าแบบรถไฟ ด้วยเมนูยอดฮิต ข้าวเหนียวหมูทอดแสนอร่อย ก่อนจะไปแวะลิ้มรสของหวานขึ้นชื่อ ไอศกรีมกะทิสดแห่งภาชี ถ้วยเล็กๆ หวานๆ มัน ที่เราสามารถซื้อได้จากบนขบวนรถไฟเลย
นั่งรถไฟชิมวิวเพลินๆ กันสักพัก ขบวนรถไฟนำเที่ยวก็มาหยุดที่ กลางสะพานทางรถไฟลอยน้ำ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์พอรถไฟหยุดปุ๊บ นักท่องเที่ยวก็เข้าแถวลงจากไปถ่ายรูปกับรถไฟเป็นที่ระลึกกันแบบไม่ยั้ง ท่ามกลางผืนน้ำและขุนเขาที่อยู่รายล้อม เห็นแล้วสดชื่นสุดๆ
จากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อสู่รอยต่อเขตจังหวัดชัยภูมิ เส้นทางรถไฟในช่วงนี้จะลัดเลาะไปตามสันเขา ค่อยๆไต่ระดับเข้าสู่เขตของอุทยานแห่งชาติเทพสถิตย์ ซึ่งระหว่างนั้งอยู่บนรถไฟ เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนรถจะมาจอดที่ถานีบ้านวะตะแบกในช่วงเที่ยงๆ โดยเราต้องนั่งรถบัสคันใหญ่เพื่อไปดูทุ่งดอกกระเจียว ในเขตอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม เมื่อไปถึงอุทยานฯ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างรอคอยกับการขึ้นไปดูภาพดอกกระเจียวที่กำลังบานอร่ามทุ่ง และจะบานเฉพาะฤดูฝน (มิถุนายน-สิงหาคม) เท่านั้น ซึ่งการเดินทางไปช่วงนี้ แม้จะมีฝนโปรยปรายลงมาเป็นระยะๆ และทำให้ทุ่งดอกกระเจียวโรยราลงไปบ้าง แต่ก็ไม่สามารถบดบังความสวยงามของทุ่งดอกไม้แห่งนี้ได้เลย  IBC
จากนั้นเราก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวสุดแผ่นดิน อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม สูงกว่าระดับน้ำทะเล 846 เมตร เป็นแนวหน้าผารอยต่อ ระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน ที่หากมาตอนเช้าเราจะได้เห็นทะเลหมอกที่สวยแปลกว่าที่อื่น ที่สำคัญ ทัศนียภาพบริเวณนี้เป็นหน้าผาสูงชันอยู่บนเทือกเขาพังเหย มองเห็นทิวทัศน์ของสันเขาพังเหยและพื้นที่ป่าของเขตพันธุ์รักษาสัตว์ป่าซับลังกา จังหวัดลพบุรีได้ไกลสุดสายตา  IBC
นั่งเล่นสัมผัสอากาศเย็นๆ กันสักพัก พวกเราก็เดินทางไปจุดชมวิวป่าหินงาม (ลานหินงาม) อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ทำการอุทยานฯ ทั่วบริเวณเรียงรายไปด้วยหินก้อนน้อย ใหญ่ รูปร่างแปลก ๆ มากมายในพื้นที่กว่า 10 ไร่ เป็นลานหินซึ่งเกิดจากการกัดเซาะดิน และเนื้อหินทรายมานานนับลานปี วางเรียงรายสลับซับซ้อน อยู่เต็มลานบ้างก็มีรูปร่างแปลกตาแล้วแต่จะ จินตนาการ อาทิ หินแม่ไก่ หินถ้วยฟีฟ่า ฯลฯ ดูแล้วชวนให้เกิดความเพลิดเพลินใจเป็นยิ่งนัก  IBC
เที่ยวกันจนหนำใจแล้วเราก็รถสองแถวเดินทางกลับสู่สถานีรถไฟบ้านวะตะแบกอีกครั้ง ซึ่งหลังจากออกเดินทางได้ไม่นาน ขบวนรถไฟก็มาหยุดตรบริเวณ อุโมงค์เขาพังเหย จุดที่สูงที่สุดบนเส้นทางสายนี้ และเป็นอุโมงค์รถไฟแห่งเดียวในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้เราทุกคนได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันอย่างเต็มอิ่ม  IBC

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เที่ยวสวนภูฏาน...สถานที่ในฝัน IBC

แสงแดดที่ร้อนแรง สลับสับเปลี่ยนกับอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน พร้อมที่ฝนตกแดดออกได้ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายของผู้เขียนร้อน ๆ หนาว ๆ จนเหมือนจะเป็นไข้อยู่ทุกวันเนื่องจากปรับสภาพร่างกายตามไม่ทัน แต่วันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าชมสวนภายในงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ 2554 เชียงใหม่ อดไม่ได้คะที่เจาะลึกทุกแง่มุมรายละเอียดภายใต้การจัดงาน ของมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ 2554 เพื่อนำมาฝากให้หลายคนที่ชอบท่องเทียวชื่นชมความงามและหาความรู้จากการเดินทาง  IBC
ประเทศภูฏาน เป็นหนึ่งในหลายประเทศ ที่ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านอยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งของชีวิต เนื่องจากเป็นประเทศ ที่มีวิถีชีวิตในรูปแบบ Living in hamony with nature อยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ มีความสงบ สันติ และสะท้อนออกมาทางด้านผลงานสถาปัตยกรรม สิ่งที่สะดุดตาผู้เขียนยิ่งนักคือสีสันที่สดใสโดดเด่น และเป็นสีที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมีสีที่แตกต่างกันออกไป ดินสี ในแต่ล่ะภูมิภาคของประเทศภูฏานมีความติดกับวัสดุไม้คงทนยาวนานถึง 50 ปี ผู้เขียนได้เข้าชมดูรายละเอียดของฝีมืองานช่าง ที่มีความวิจิตรประณีตบรรจงของช่างสีและช่างแกะสลัก  IBC

คลิกชมภาพต่อไป
โดยเดินทางมาจากภูฏาน ทำให้มีโอกาสพูดคุยและรับรู้ถึงความเป็นมิตรที่ดีพูดคุยด้วยท่าทียิ้มแย้มเป็นการสร้างกัลยาณมิตรเชื่อมโยงสู่ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ด้วยความที่ผู้เขียนเป็นคนช่างสงสัยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทำให้ต้องได้รับทราบที่มาของแต่ผลงาน เพื่อหาคำตอบมาประดับความรู้ให้กับตัวเองและเผยแพร่ให้กับผู้อื่นอยู่เสมอเพราะความรู้มีอยู่รอบตัวเราทุกวินาที เช่น สะพานไม้ภายในสวนของประเทศภูฏาน ที่กำลังมีช่างสีเนรมิตอยู่นี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ  IBC
คลิกชมภาพต่อไป
 โดยสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหายทั้งสี่ คือ ช้าง ลิง กระต่าย และนก ซึ่งเป็นเรื่องราว เกี่ยวกับบทสอนใจทางจริยธรรม ในเรื่องความแข็งแกร่ง และไมตรีจิต ที่มีความเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันแสดงออกให้เห็นการช่วยเหลือร่วมมือกันของสัต์ที่มีความแข็งแรง ซื่อสัตย์ เอื้อเฟื้อต่อกันในการดำเนินชีวิต ที่มีธรรมชาติเป็นองค์ประกอบ ร่วมทั้งเชื่อมโยงปรัญญาทางด้านศาสนา  IBC
นกฟีนิกซ์ หรือจาห์ เซอริง ในเทพนิยาย บอกว่าไม่มีวันตาย นั้นหมายถึงมิตรภาพระหว่างชาวไทยและภูฏานจะไม่มีวันตายและเจริญรุ่งเรืองตลอดกาล สื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศไทยและประเทศภูฏาน นอกจากนี้แล้วยังมี 'หอระฆังพลังน้ำ' จะมีบทสวดมนต์ ติดอยู่โดยรอบในตัวระฆังหากคนที่เคยเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศภูฏาน มักจะพบเห็นได้ในวัดและตามป่าเขา เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีการนำสัตว์นำโชคต่าง ๆ และมีความเชื่อมโยงกับศาสนา นำมาเป็นสัญลักษณ์แกะสลักบริเวณประตู ซึ่งเป็นวิถีชีวิตประจำวันของคนภูฏานที่มีการสืบทอดมายาวนานจนปัจจุบัน  IBC

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หนองหาน ลงเรือเที่ยว เบิกบานกับทะเลบัวแดง IBC

หนาวที่ผ่านมา หนองหาน - สถานที่ทางธรรมชาติอันแสนสงบแห่งหนึ่ง นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในดวงใจ นอกจากความรู้สึกว่าได้พักใจ หลีกลี้จากความวุ่นวาย "ทะเลบัวแดง"--ผืนน้ำอันกว้างใหญ่ดารดาษด้วยดอกบัวแดง ยังทำให้ความรู้สึกเป็นสุขนั้นประทับอยู่ในใจ...  IBC
หนองหาน เป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ จ. อุดรธานี มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลกว่า 2 หมื่นไร่ หรือราว 300 เท่าของสนามหลวง กินพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัด คือ อ. กุมภวาปี อ. หนองหาน อ. ประจักษ์ศิลปาคม และ อ. กู่แก้ว รอบหนองหานมีหมู่บ้านรายล้อมกว่า 60 หมู่บ้าน หนองหานจึงเป็นที่หาอยู่หากินของชาวบ้าน และที่สำคัญคือเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำปาว ลำน้ำสำคัญที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนใน จ. อุดรธานี และไกลไปถึงคนปลายน้ำที่ อ. กมลาไสย จ. กาฬสินธุ์
หนองหาน ยังเกี่ยวโยงกับตำนานพื้นบ้าน ผาแดง-นางไอ่ ที่คนอุดรธานีรวมทั้งคนอีสานรู้จักกันเป็นอย่างดี  IBC
ผาแดง-นางไอ่-พญานาค เกี่ยวโยงกับหนองหาน
คนอุดรโดยเฉพาะคนรอบหนองหานคุ้นเคยกับตำนาน ผาแดง-นางไอ่ รวมไปถึงพญานาค อันเป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้เกิดหนองหาน เรื่องมีอยู่ว่า นางไอ่ ธิดาของเจ้าเมืองขอม เป็นผู้มีสิริโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของเจ้าชายเมืองต่างๆ ครั้งหนึ่งบ้านเมืองเกิดความแห้งแล้ง เจ้าเมืองขอมจึงจัดให้มีการแข่งขันจุดบั้งไฟเพื่อขอฝนจากพญาแถนผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าฝน หากบั้งไฟของใครขึ้นสูงที่สุด พระองค์จะยกธิดาให้ ในการแข่งขันนั้นมีเจ้าชายมาร่วมหลายเมือง รวมถึงท้าวภังคี โอรสของท้าวนาคราชในนครบาดาล ที่ปลอมตัวเป็นมนุษย์  IBC
ในที่สุดผู้ชนะก็คือท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง ท้าวภังคีโอรสของท้าวนาคราชไม่พอใจผลการแข่งขัน จึงปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกเข้ามาในสวนดอกไม้ของนางไอ่ นางไอ่ซึ่งเกิดนึกอยากกินเนื้อกระรอกเผือกก็สั่งให้นายพรานไปยิงกระรอกเผือกตัวนั้นมา ท้าวภังคีหรือกระรอกนั้นไม่พ้นเงื้อมมือนายพราน ก่อนตายท้าวภังคีได้อธิษฐานว่า ใครที่กินเนื้อของตนขอให้จมน้ำตายในบาดาล เมื่อนางไอ่นำเนื้อกระรอกเผือกมาปรุงอาหารและแจกจ่ายไปทั่วเมือง ในคืนนั้นก็เกิดพายุฝน แผ่นดินไหว น้ำท่วมพัดพาผู้คนลงสู่ท้องบาดาล
ฝ่ายท้าวนาคราชซึ่งพิโรธที่โอรสถูกฆ่าตาย จึงพานาคจากเมืองบาดาลมาอาละวาดถล่มเมืองขอมจนพินาศสิ้น ท้าวผาแดงเห็นดังนั้นก็พานางไอ่ควบม้าหนีไปได้ทางทิศเหนือ ส่วนวิญญาณของท้าวภังคีก็วนเวียนมาทวงความแค้นกับท้าวผาแดงและนางไอ่ตลอดทุกชาติ บริเวณเมืองขอมที่พวกนาคถล่มจนจมลงสู่บาดาลได้กลายเป็นหนองหาน เพื่อเป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณชาวเมืองขอมผู้ประสบเคราะห์กรรมในครั้งนั้น ประชาชนรอบหนองหานจึงสร้างเจดีย์ วัด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น คือพระธาตุต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใน อ. กุมภวาปี อันได้แก่ พระธาตุดอนแก้ว พระมหาธาตุเจดีย์ และศาลท้าวผาแดง ใน ต. กุมภวาปี พระธาตุดอยหลวง ต. พันดอน พระธาตุบ้านเดียม ต. เชียงแหว และพระธาตุจอมศรี ต. แชแล  IBC
"บัวแดง" นี้บานแต่เมื่อคืน
หนองหานเป็นแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำ นก ปลา นานาชนิด ช่วงฤดูหนาวหนองหานจะงามตระการด้วยดอกบัวแดงนับล้านที่พากันชูช่อให้เราได้ชื่นชมความงาม มองดูราวกับผืนพรมสีชมพูปูลาดบนผิวน้ำกว้างไกลสุดสายตา บัวมี 2 ประเภท คือ "อุบลชาติ" หรือบัวสาย และ "ปทุมชาติ" หรือบัวหลวง ในแต่ละประเภทยังแบ่งแยกย่อยได้อีกหลายชนิด บัวแดงที่เห็นอยู่ในหนองหานเป็นหนึ่งในประเภทอุบลชาติ เรียกกันว่าบัวสัตตบรรณ หรือรัตตอุบล เป็นบัวสายชนิดหนึ่งที่บานในตอนกลางคืน ทั้งดอกสีแดงอมชมพูนั้นยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย การผลิบานของบัวแดงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ วันไหนแสงแดดน้อย อากาศเย็น บัวแดงจะบานอยู่นานถึงบ่ายแก่ๆ เลยทีเดียว
การชมทะเลบัวแดงครั้งนี้ เราเริ่มด้วยการเฝ้ารอพระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้าอยู่ที่ริมฝั่งท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ก่อนลงเรือล่องหนองหานไปกว่า 7 กม. เพื่อสัมผัสบัวแดงอย่างใกล้ชิด ยิ่งไกลออกไป บัวแดงก็ยิ่งหนาแน่น บรรยากาศแสนสงบ อากาศแสนบริสุทธิ์ ณ ที่แห่งนี้ พาความอิ่มเอมและสุขใจมาสู่ทุกคนถ้วนทั่ว ขณะเครื่องยนต์ท้ายเรือกำลังทำงาน แผ่นน้ำสะเทือนเป็นระลอกคลื่น เหล่าแมลงที่เกาะอยู่ตามกอบัวต่างตกใจกระโดดหนีขึ้นเหนือผิวน้ำ ในระหว่างทางเรายังได้เห็นทั้งนกปากห่าง นกคู้ต นกอีโก้ง นกแซงแซว บินล้อเล่นกับสายลม ดูน่าเพลิดเพลิน...
การอยู่ในแวดล้อมของทะเลบัวแดงอันกว้างใหญ่และเงียบสงบ เป็นการสัมผัสธรรมชาติรับอรุณที่น่ารื่นรมย์ แม้ความสวยงามของบัวแดงไม่มีให้ได้ยลตลอดทั้งปี ทว่าความงามของ "ทะเลบัวแดง" ในความทรงจำของเราก็ผลิบานได้เสมอๆ  IBC

ตื่นตาตื่นใจชมบ้านนกเหยี่ยวแดง จันทบุรี IBC

ก่อนจากกัน...บางจาก ไม่พลาดที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสุดอะเมสซิ่งแห่งใหม่ล่าสุดของเมืองจันทร์ กับ บ้านนกเหยี่ยวแดงป่าโกงกาง ที่เรามั่นใจว่าหลายๆ ท่าน ต้องไม่เคยได้พบเห็นเหยี่ยวแดงนับร้อยที่นัดกันถลาลงโฉบเหยื่อให้เราชมอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนแน่นอน  IBC
การเดินทางจะใช้เส้นทางจากจันทบุรีไปทางจังหวัดตราดประมาณเลยกิโลเมตรที่ 374 ที่เป็นเส้นทางชมหิ่งห้อยไปอีกไม่กี่กิโลเมตร ก็จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำเวฬุ ต้องนั่งเรือไปอีกประมาณ 30 นาที ลัดเลาะตามแม่น้ำเวฬุ สองข้างทางจะเป็นป่าชายเลน ซึ่งป่าชายเลนลุ่มน้ำเวฬุนี้มีเนื้อที่ถึง 120,000 ไร่ ส่วนใหญ่จะมีชาวบ้านไปทำนากุ้ง นาหอย และก็มีป่าโกงกางเต็มไปหมดสองข้างทาง ชาวบ้านแถวนี้ยังต้องใช้เส้นทางเรือเป็นหลัก ไม่มีถนนเข้าถึง สถานที่เราไปชมเหยี่ยวแดงก็เป็นของชาวบ้าน แต่เป็นชาวบ้านที่เข้าใจธรรมชาติเป็นอย่างดี ไม่ได้มีการทำลายป่าโกงกางลงทั้งหมด โดยแกเพียงแต่ทำเป็นร่องน้ำแทรกเข้าไปในป่าโกงกางเท่านั้น เหยี่ยวแดงจึงยึดเป็นที่อยู่อาศัยนับสิบๆปีแล้ว และจำนวนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  IBC
แม่น้ำแม่น้ำเวฬุไหลมาจากเขาพระบาทและลงทะเลที่อ่าวไทย บริเวณเกาะจิก อ.ขลุง สถานที่ที่เราไปชมเหยี่ยวแดงห่างจากชายทะเลถ้าใช้เรือวิ่งไปก็ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง
อาหารของเหยี่ยวแดงตามธรรมชาตินั้นคือ กบ เขียด งู นก แมลง หนู ลูกเป็ด ลูกไก่ สัตว์เลื้อยคลานเล็กๆ เนื่องจากบริเวณป่าชายเลนป่าโกงกางอันอุดมสมบูรณ์มีอาหารการกินของนกเหยี่ยวแดงที่สมบูรณ์ และมีที่อาศัยนอนไม่มีใครรบกวน มันจึงอยู่ได้อย่างอิ่มและปลอดภัย เหยี่ยวแดงนับพันจึงอยู่ได้โดยไปหนีไปไหน  IBC
เหยี่ยวแดงที่ครั้งหนึ่งหาชมได้ตามสวนสัตว์ แต่วันนี้เราพาท่านมาชมแบบธรรมชาตินับพันตัว ช่วงเช้าจะออกหากินโดยบินไปที่อื่นบ้างแต่ช่วงเย็นเวลาประมาณ 17.00 น. จะบินกลับมานอน การชมเหยี่ยวแดงต้องนิ่งๆไม่ส่งเสียงดัง และเพื่อให้ชมได้ใกล้ชิดและเห็นมันโฉบเหยื่อให้เราชม เจ้าของบ้านจึงนำปลาเหยื่อไปหว่านผิวน้ำ เมื่อเหยี่ยวแดงเห็นจะบินวนจากบนฟ้าก่อน และถลาลงมาโฉบเหยื่อให้เราชมอย่างสวยงาม  IBC
การไปชมนั้นบางจากขอแนะนำว่าควรจะไปในช่วงบ่าย 3 โมงจะดีที่สุด เพราะท่านจะได้ดูเหยี่ยวแดงนับพันตัวถลาลมโฉบลงกินปลาที่กลางทะเล มีเรือรับนักท่องเที่ยวอยู่เป็นประจำ ขากลับท่านยังจะได้ชมพระอาทิตย์อัสดงที่งดงามเหลือที่จะพรรณนาอีกด้วย  IBC

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นครนายก...เมืองมรดกธรรมชาติ IBC

นครนายก' เมืองในฝันใกล้กรุง ที่คุณแสวงหา ‘ความสุข' ได้ใกล้ๆ ตัว เหมือนดังคำขวัญที่ว่า "นครนายก เมืองในฝันที่ใกล้กรุง ภูเขางาม น้ำตกสวย รวยธรรมชาติ ปราศจากมลพิษ" เพราะเพียงเดินทางออกจากกรุงเทพในระยะทาง 100 กิโลเมตรกว่าๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น ก็จะเห็นได้ว่า โลกได้เปลี่ยนไปจากความสับสนวุ่นวายแออัดของเมืองกรุงมาสู่โลกในมุมใหม่ที่แสนสงบของ ภูเขางาม น้ำตกสวย ธรรมชาติที่ปราศจากมลพิษ มีแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนมากมาย ทั้งทางธรรมชาติและวัฒนธรรม รวมถึงมีกิจกรรมที่สามารถทำได้ทั้งครอบครัว"นครนายก" จึงถือเป็นเมืองในฝันที่คุณจะสามารถแสวงหาความสุขได้ใกล้ๆ ตัว  IBC
และต้องถือเป็นข่าวดีสำหรับคนไทยที่ตอนนี้บ้านเรามีมรดกโลกทางธรรมชาติเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง นั่นก็คือ ผืนป่าเขาใหญ่ดงพญาเย็ ซึ่งองค์การยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็น 1 ใน 7 มรดกโลกแห่งใหม่ ผืนป่าแห่งนี้กินพื้นที่ครอบคลุมหลายจังหวัด รวมทั้งนครนายกด้วย อีกทั้งเส้นทางขึ้นป่าที่สวยงามหลายๆ เส้นทาง ก็เริ่มต้นจากที่นครนายกเช่นกัน จึงถือว่าไม่ผิด หากเราจะกล่าวว่า "นครนายก เป็นเมืองมรดกโลกทางธรรมชาติ"
จังหวัดนครนายกมีเนื้อที่ประมาณ 2,122 ตารางกิโลเมตร สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบอยู่ในหุบเขา เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารและน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครนายก อำเภอบ้านนา อำเภอองครักษ์ และอำเภอปากพลี มีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง สำหรับฉบับนี้เราจะขอแนะนำสถานที่ที่สร้างความประใจไม่เสื่อมคลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อาทิ น้ำตกสาริกา ที่ได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ จัดระเบียบพื้นที่ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวได้ชมความสวยงามของน้ำตกได้อย่างเต็มอิ่ม รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมที่น่าสนในอื่นๆ อีกมากมาย ถึงเวลาแล้วที่คุณจะได้ทำความรู้จักกับ "จังหวัดนครนายก เมืองมรดกธรรมชาติ" แห่งนี้ !
น้ำตกสาริกา
 
เป็นน้ำตกในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ หมู่ที่ 3 ต.สาริกา อ,เมืองนครนายก ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยถนนหมายเลข 3049 เป็นระยะทาง 12 กม. แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวง 3050 อีก 3 กม.เส้นทางเข้าน้ำตกสาริกาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นเขียวขจีตลอดทาง เมื่อเข้ามาถึงจะพบน้ำตกขนาดใหญ่ไหลตกจากหน้าผาสูง ทั้งหมดถึง 9 ชั้น โดยผาที่สูงที่สุดประมาณ 200 เมตร ในแต่ละชั้นจะมีชั้นหินธรรมชาติรองรับน้ำและกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็กๆ อยู่ทั่วบริเวณชั้นของน้ำตก บางแห่งมีขนาดกว้างและน้ำไม่ลึกมาก ทำให้สายน้ำไหลตกลงมาอย่างสวยงาม ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เขียวชอุ่ม ทำให้สามารถเดินชื่นชมความงามของธรรมชาติได้ ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำมาก แต่ในฤดูแล้งก็ยังพอมีน้ำให้สามารถเล่นได้ ที่ด้านหน้าทางเข้าน้ำตกจะมีบริการห้องอาบน้ำ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกไว้บริการ และบริเวณใกล้เคียงกันมียังมี "ถ้ำสาริกา" เป็นสถานที่ที่ อาจารย์มั่น ภูริฑตฺโต เคยมาบำเพ็ญธรรม มีสภาพเป็นเนินเขา ภายในประกอบด้วยกุฏิของสงฆ์ เรือนบูชาหลวงปู่มั่น และโบสถ์ ที่ทางขึ้น น้ำตกสาริกา จะมีศาล เจ้าพ่อปลัดจ่าง และ เจ้าแม่สาริกา ที่ชาวนครนายกและคนทั่วไปให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ก่อนเดินทางขึ้น น้ำตกสาริกา จึงควรแวะไหว้เพื่อเป็นศิริมงคล น้ำตกสาริกา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยการประชาคมทั้งในระดับตำบล และอำเภอ เพราะน้ำตกสาริกาเป็นน้ำตกที่ขึ้นชื่อ เป็นแลนด์มาร์คที่อยู่คู่กับจังหวัดนครนายก มีความสวยงาม และใกล้กรุงเทพฯ การคมนาคมสะดวก
ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวน้ำตกสาริกา ที่ดีที่สุดคือ ช่วงปลายฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว ซึ่งเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่ เวลา 05.30-18.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชมน้ำตก ผู้ใหญ่ 20 บาท และ เด็ก 10 บาท ก่อนเดินทางไปเที่ยว น้ำตกสาริกา สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284, 0-3731-5664
น้ำตกนางรอง
ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต.หินตั้ง อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองนครนายกประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ไม่สูงนัก เป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัดนครนายก แต่ละชั้นมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และเล็กรองรับน้ำที่ไหลลงมาเหมาะสำหรับลงเล่นน้ำเป็นอย่างมาก เพราะน้ำไหลเป็นทางยาวเราสามารถเลือกเล่นน้ำได้หลายจุด เที่ยวได้ทุกฤดูกาล เพราะมีน้ำตลอดทั้งปี มีทางเดินขึ้นไปจุดชมวิวน้ำตกชั้นบนสุดระยะทางประมาณ 300 เมตร ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ป่านานาชนิด ทางเดินสะดวก อากาศเย็นสบาย ด้านหน้าบริเวณที่จอดรถมีร้านค้าบริการอาหารและเครื่องดื่ม  IBC
เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการมาเที่ยวน้ำตกนางรองคือช่วงปลายฝนต้นหนาว ท่านจะสามารถสัมผัสกับสายหมอกและน้ำตกที่สวยงาม อัตราค่าผ่านประตู รถยนต์ พร้อมคนขับ 50 บาท ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็กที่สูงไม่เกิน 120 ซม. เข้าฟรี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครนายก โทร. 037-385310, 037-307100 037-312284  
อุทยานวังตะไคร้ หรือ จุมภฏ - พันธุ์ทิพย์ อุทยานวังตะไคร้
อยู่ใกล้กับน้ำตกนางรอง ห่างจากตัวเมืองเพียง 16 กิโลเมตร โดยพลตรีพระจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ทรงรู้สึกโปรดปรานในธรรมชาติในบริเวณแถบนี้ จึงได้ซื้อทรงดำริและจัดซื้อที่ดินและก่อสร้างที่ประทับขึ้นสำหรับพักผ่อนยามว่าง ต่อมาได้ทรงพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแก่ประชาชนทุกระดับได้มีที่พักผ่อนหย่อนใจ น้ำตกแห่งนี้เกิดจากการรวมตัวของลำธาร 2 สาย คือ ลำธารคลองมะเดื่อจากน้ำตกเหวกระถิน กับลำธารคลองตะเคียนจากน้ำตกแม่ปล้อง ลำธารทั้ง 2 นี้ ไหลมาบรรจบกันเป็นธารเดียว มีแอ่งน้ำขัง เป็นวังน้ำอยู่เป็นตอนๆ ไหลลงสู่แม่น้ำนครนายกและมีต้นตะไคร้น้ำขึ้นอยู่ทั่วไปในบริเวณนี้ที่นี่จึงได้ชื่อว่า "วังตระไคร้" มีต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งไม้ประดับ สวนผลไม้ สวนดอกไม้ สวนปาล์ม สวนต้นไม้ในวรรณคดี สวนไม้ผลป่า สวนป่า และสวนสมุนไพร ทั้งในประเทศและต่างประเทศเกือบทั่วโลกนับร้อยชนิด ในช่วงฤดูฝนลำธารจะมีน้ำเต็มไหลเชี่ยวจัด กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาก คือ ล่องห่วงยาง มีบริการบ้านพักค้างแรมภายในพื้นที่
อัตราค่าผ่านประตู คนละ 10 บาท รถยนต์(4 คน) คันละ 100 บาท สอบถามรายละเอียดโทร. 0-3738-5165
เขื่อนขุนด่านปราการชล
หรือเดิมเรียกว่าเขื่อนคลองท่าด่านเป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก ตั้งอยู่ที่ บ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนไว้ในใช้หน้าแล้ง และควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน มีหน้าที่รองรับน้ำที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดนครนายก นักท่องเที่ยวสามารถชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จากบริเวณสันเขื่อน ในบริเวณด้านหน้าเขื่อนมีการเปิดทางน้ำให้สำหรับนักท่องเที่ยวได้มาเล่นน้ำห่วงยางและล่องแก่ง เพื่อเพิ่มกิจกรรมสันทนาการให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังสามารถเช่าเรือหางยาวเพื่อชมน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนได้อีกด้วย
ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ
ก่อตั้งบนที่ดินส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่หลังเขื่อนขุนด่านปราการชล บ้านท่าด่าน ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปภัมภ์สนับสนุนงบประมาณ เพื่อทำการพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป โดยจัดทำโครงการศูนย์นิทรรศการ การบริหารทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแสดงแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาตนเองตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายในสถานที่มีการออกแบบจัดวางให้เหมาะสมแก่ผู้เข้าชมที่จะได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน (Play + Learn = Plearn) ประกอบด้วย อาคารนิทรรศการ ซึ่งมีระบบแสง สี เสียง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ความรู้และความเข้าใจมากยิ่งขึ้น พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิต เป็นพื้นที่แสดงแนวคิดในรูปแบบแปลงสาธิตตามทฤษฎีต่างๆ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นก็ออกเดินชมศึกษาแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ โดยรอบบริเวณที่แบ่งออกมาเป็น 4 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีแปลงสาธิตที่น่าสนใจ อาทิ แปลงทฤษฎีแก้มลิง หนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ใช้เป็นแม่แบบในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แปลงปลูกหญ้าแฝก การเลี้ยงปศุสัตว์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การทำปุ๋ยใช้เอง และการทำน้ำมันไบโอดีเซล เป็นต้น ซึ่งทุกอย่างสามารถนำไปเป็นต้นแบบใช้งานได้จริง
สอบถามรายละเอียดโทร. 0-3738-4049 หรือ www.bhumirak.com
วัดพราหมณี (หลวงพ่อปากแดง) ตลาดโรงเกลือ 100%
วัดพราหมณี ถือเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในจังหวัดนครนายก สร้างขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปัจจุบันนี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว มีพระประธานศักดิ์สิทธิ์เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีพระโอษฐ์แย้ม ริมพระโอษฐ์มีสีแดงเห็นได้ชัดสะดุดตา ชาวบ้านจึงเรียกว่า "หลวงพ่อปากแดง" เป็นที่เคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้คนที่มาขอพรประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ จนมีชื่อเสียงไปทั่วทุกภูมิภาคของเมืองไทย มีประชาชนหลั่งไหลเข้ามากราบไหว้บูชากันเป็นจำนวนมาก วัดพราหมณี ยังมีเรื่องราวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกเป็นที่ตั้งจุดพักทัพของกองพันทหาร จึงมีการค้นพบกระดูกของทหารญี่ปุ่นใกล้วัดพราหมณีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นสมาคมทหารสหายสงครามกองพลญี่ปุ่นจึงได้สร้างอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารญี่ปุ่น ณ วัดพราหมณี เพื่อเป็นที่ระลึกถึงดวงวิญญาณของบรรดาทหาร ซึ่งสังกัดกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 ที่สูญเสียชีวิต ในสงคราม เมื่อปี 2482-2488 จึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งภายในวัดพราหมณีแห่งนี้ ติดกันกับเขตวัดแห่งนี้ยังมีตลาดสินค้ามือ 2 รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้มือ 1 มากมายให้เลือกซื้อหาในราคาย่อมเยา โดยเป็นการจำลองตลาดโรงเกลือมาไว้ที่นี่ มีพ่อค้า-แม่ค้าชาวเขมร และชาวไทย
อุทยานพระพิฆเนศ
ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกประชาเกษม หมู่ 11 ถ.นครนายก-น้ำตกสาริกา ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเณศวรขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 9 เมตร สถานที่แห่งนี้จัดสร้างโดย พระราชพิพัฒน์โกศล หรือ หลวงพ่อเณร เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม บางขุนนนท์ กรุงเทพฯ ภายใน อุทยานพระพิฆเณศ ผู้ศรัทธาจะพบกับความอลังการของเทวรูปพระพิฆเนศขนาดมหึมา นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงพระพิฆเนศปางต่างๆ ถึง 108 ปาง ที่ครบสมบูรณ์แห่งหนึ่งของเมืองไทย และ หอมหาเทพ ซึ่งประดิษฐานมหาเทพสูงสุดทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของจังหวัดนครนายก
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวน
ตั้งอยู่ที่ วัดฝั่งคลอง ต.เกาะหวาย อ.ปากพลี จ.นครนายก เป็นที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของชาวไทยพวนในอดีต ซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนในมณฑลยูนาน ที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากเมื่อราว 200 ปีก่อน เช่น ผ้าซิ่นไทยพวน โม่หิน ถังต้มกาแฟโบราณ อุปกรณ์ในการทำนา เครื่องมือทอผ้า เป็นต้น นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดฝั่งคลอง ยังมีกลุ่มทอผ้าพื้นเมือง และทำไข่เค็มสูตรใบเตยหอม นักท่องเที่ยวสามารถออกไปชมชุมชนบ้านไทยพวนวัดฝั่งคลอง ซึ่งยังคงอนุรักษ์วิถีความเป็นอยู่แบบชาวไทยพวนดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวน ได้ตั้งแต่เวลา 08.30-17.30 น.  IBC
โฮมสเตย์หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 
ตั้งอยู่ หมู่ 11 บ้านคูคตต ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้ดอก ไม้ประดับนานาพรรณแหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมทั้งอุปกรณ์ในการจัดสวน ให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมและเลือกซื้อเป็นของฝากของขวัญ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดตั้งเป็น "หมู่บ้านหนี่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปในตัว โดยชุมชนได้รวมตัวกันจำนวน 6 หลังคาเรือน จัดตั้งเป็น "โฮมสเตย์ หมู่บ้านไม้ดอกไม้ประดับ คลอง 15" เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาเรียนรู้วิถีชีวิตชาวสวนไม้ดอกไม้ประดับ การเกษตร เช่น การทำไร่หญ้า การเพาะปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ล้อม และการปลูกปาล์มชนิดต่าง ๆ ชมการผลิตสินค้าของที่ระลึกจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทำธูปหอมต่างๆ เป็นต้น
สอบถามรายละเอียดโทร. 0-3733-2112, 08-1761-9414
สวนลุงไสว ศรียา (แหล่งเรียนรู้เกษตรกรรม)
 
ตั้งอยู่ที่ ต.หินตั้ง อ.เมือง จ.นครนายก เป็นสถานที่เผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตรต่างๆ โดยการคิดค้นของลุงไสว ศรียา ปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นผู้จุดประกายความคิดในการปรับแต่งกิ่งก้านสาขาให้ต้นไม้ธรรมดาๆ กลายเป็นต้นไม้แฟนซีได้อย่างน่าทึ่ง เช่น ต้นไม้เต้นระบำ ต้นแมงดา ผลไม้ขวดที่สร้างความฮือฮาทำให้มีผู้สนใจทั้งในนครนายกและจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมาดูงานเป็นจำนวนมาก บวบยาว ขนุนหกเหลี่ยม มะม่วงหลายพันธุ์อยู่ในต้นเดียวกัน ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการสอนทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง การทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ การผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ที่ทำมาจากน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว ก็ล้วนมีให้ศึกษาทั้งสิ้น สอบถามรายละเอียดโทร.0-3738-4093  IBC
กิจกรรมผจญภัย ในจังหวัดนครนายก
 
โรยตัวที่ 4 หน้าผา 5 น้ำตก วัดใจความกล้ากับกิจกรรมการท่องเที่ยวผจญภัยในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นครนายกมีผู้ประกอบการให้บริการด้านการท่องเที่ยวผจญภัยหลายแห่ง ที่สามารถให้การซักซ้อมและเตรียมความพร้อมก่อนการผจญภัยให้ได้รับความสนุกตื่นเต้นเร้าใจ และปลอดภัยตลอดรายการ โปรแกรมโรยตัวที่ 4 หน้าผา 5 น้ำตก เริ่มจากการเดินตามลำน้ำของน้ำตกธารรัตนา ลัดเลาะขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งเป็นหน้าผาแรกของการโรยตัวที่ น้ำตกสองพี่น้อง สูงประมาณ 67 เมตร แล้วไปโรยตัวต่อที่ น้ำตกสองสวรรค์ 1 ด้วยความสูง 18 เมตร พักกินข้าวกลางวัน แล้วเดินต่อไปหน้าผาที่ 3 น้ำตกสองสวรรค์ 2 สูง 38 เมตร เป็นสายน้ำที่ไหลจากน้ำตกธารรัตนาเดินป่าชมวิวทิวทัศน์ที่ชุ่มฉ่ำก่อนไปสู่หน้าผาสุดท้ายที่ น้ำตกวังบอน มีความสูง 26 เมตร
เช้าวันใหม่ไปต่อด้วย ล่องแก่งที่แม่น้ำนครนายก ซึ่งมีระดับความยาก-ง่าย ตั้งแต่ระดับ 3-5 สร้างความสนุกได้ทุกเพศทุกวัย ตลอดทั้งปี โดยเริ่มต้นผจญภัยจากเชิงสะพานหลังเขื่อนขุนด่านปราการชล เลาะเลี้ยวไปตามลำน้ำนครนายก ในระดับความแรงของสายน้ำที่ 1-3 ผ่านแก่งต่างๆ โดยเฉพาะ แก่ง 3 ชั้น ที่สร้างความสนุกตื่นเต้นที่สุด ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร มีวังน้ำความยาวรวมทั้งหมด 7 กิโลเมตร และอีกกิจกรรมเหมาะสำหรับวัยรุ่นหนุ่มสาว ก็คือ การขับรถATV ในเส้นทางธรรมชาติ สนุก สุดมันส์ แบบลุยๆ ลงห้วย ลุยโคลน ผ่านฝายน้ำล้น และ เพลิดเพลินกับเรือกสวนตลอดสองข้างทาง อีกรายการที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนรักการผจญภัยฝึกการทำงานแบบเป็นทีมกับกีฬา ยิงปืนเพ้นท์บอลและบีบีกัน ที่จังหวัดนครนายกก็มีให้คุณเล่น

มะยงชิต มะปรางหวาน ส้มโอหวาน กระท้อนยักษ์ ของดีเมืองนครนายก
 
นครนายกมีผลไม้ขึ้นชื่อมากมาย เวียนออกสู่ตลาดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะ มะยงชิด มะปรางหวาน เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นอย่างมากในแต่ละปี ทุกๆ ปีจะมีการจัดงานเทศกาลมะปรางหวาน มะยงชิด จ.นครนายก ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งผู้มาเยือนจังหวัดนครนายกในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม ไม่ควรจะพลาดเลือกซื้อเป็นของฝากก่อนเดินทางกลับบ้านทุกครั้ง สำหรับในช่วงเดือนมิถุนายน ก็จะเป็นเทศกาลของ "กระท้อนยักษ์" ก็เป็นอีกผลิตผลเด่นของจังหวัดนี้ ถัดมาอีกเพียง 2 เดือน คือช่วงเดือนสิงหาคม ก็จะเป็นช่วงฤดูกาลของ "ส้มโอหวาน" ซึ่งนครนายกเป็นจังหวัดที่ปลูกส้มโอเป็นไม้ผลเศรษฐกิจหลัก มีหลายหลากพันธุ์ด้วยกัน เช่น พันธุ์ขาวน้ำผึ้ง พันธุ์ขาวทองดี และพันธุ์ขาวใหญ่ โดยเฉพาะพันธุ์ขาวน้ำผึ้งจะมีรสชาติหวานกลมกล่อม และมีเนื้อกุ้งสีน้ำผึ้งน่ารับประทาน โดยทางจังหวัดจะจัดงานหน้าศาลากลางจังหวัด ในทุกฤดูกาลของผลไม้นั้นๆ เป็นประจำทุกปี  IBC